ภาพรวมตลาด
หุ้นของ Johnson & Johnson (JNJ) ยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากความล้มเหลวซ้ำซ้อนในการใช้กระบวนการล้มละลายเป็นแนวทางจัดการกับคดีฟ้องร้องจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์แป้งทัลคัม โดยล่าสุด ผู้พิพากษา Michael Kaplan Lopez มีคำตัดสินปฏิเสธการยื่นขอล้มละลายครั้งที่สาม ซึ่งถือเป็นการบั่นทอนความพยายามของบริษัทในการจำกัดความเสี่ยงด้านกฎหมายที่ยังคงเปิดกว้างอยู่ในปัจจุบัน โดยมีกว่า 100,000 คดีที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ความไม่แน่นอนในภาระหนี้ที่อาจเกิดจากการแพ้คดีส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากกว่า 7% ภายในวันเดียว ทั้งนี้ แผนสำรองมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ที่เคยจัดเตรียมไว้สำหรับการระงับคดีความ ถูกยกเลิกไปแล้ว ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเชิงลบต่อผลประกอบการในระยะข้างหน้า
แม้จะยังมีนักวิเคราะห์บางรายมองว่าระดับราคาหุ้นในปัจจุบันอาจเปิดโอกาสในการเข้าซื้อ จากพื้นฐานธุรกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมและเทคโนโลยีการแพทย์ (MedTech) ที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดยาชีวภาพเทียบเท่า (biosimilar) โดยเฉพาะกับ Stelara ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทำเงินหลักของบริษัท ขณะเดียวกัน J&J ยังต้องรับมือกับภาวะอ่อนแอในตลาดจีน และความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสต่อไป แม้มีการคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นในปี 2025 ไว้ที่ระดับ 5–7% แต่ปัจจัยเสี่ยงด้านกฎหมาย รวมถึงความไม่แน่นอนในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลก ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่บดบังภาพรวมเชิงบวกของธุรกิจในช่วงนี้
นอกจากนี้ แม้ว่าอุตสาหกรรมไบโอฟาร์มาจะได้รับการยกเว้นจากภาษีนำเข้าในวงกว้าง 10% ตามคำสั่งชั่วคราวของประธานาธิบดีทรัมป์ในระยะสั้น แต่ความเสี่ยงในระยะยาวจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีนำเข้าและแรงกดดันทางการเมืองให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ มากขึ้น อาจส่งผลต่อโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงานในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตในประเทศที่สูงขึ้นและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ตามรายงานของ Morningstar มีการเตือนว่ากำไรขั้นต้นของบริษัทในกลุ่มไบโอฟาร์มาอาจถูกบีบตัวลงอย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากแนวโน้มเหล่านี้ยังดำเนินต่อไปควบคู่กับความเสี่ยงด้านกฎหมายที่ยังไม่มีข้อยุติ หุ้นของ JNJ ก็อาจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะสั้น และมีแนวโน้มจะเผชิญแรงขายต่อเนื่องจากความไม่ชัดเจนในปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงกดดันอยู่
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
JNJ
หุ้น Johnson & Johnson (JNJ) ในกรอบเวลารายวัน (Daily) ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากที่ราคาปรับตัวลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงแรงขายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ แนวโน้มของราคายังสอดคล้องกับภาวะโมเมนตัมในตลาดที่อ่อนแรงลง โดยเมื่อพิจารณาจากเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหลักอย่าง RSI จะพบว่าค่า RSI ล่าสุดอยู่ในโซนต่ำกว่า 50 ที่ระดับ 38.75 ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงกดดันจากฝั่งขายที่ยังคงมีอยู่ และยังมีพื้นที่ให้ราคาสามารถปรับตัวลงต่อได้อีก ขณะเดียวกัน สัญญาณจาก MACD ก็ยังคงสนับสนุนแนวโน้มเชิงลบอย่างชัดเจน โดยเส้น MACD ยังคงเคลื่อนที่ต่ำกว่าเส้นสัญญาณ (Signal line) พร้อมกับการขยายตัวของแท่งฮิสโตแกรมในแดนลบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแรงขายยังไม่หมดไป และโมเมนตัมขาลงยังมีโอกาสดำเนินต่อไปในระยะสั้นถึงกลาง ภายใต้บริบทนี้ แนวรับสำคัญที่ควรจับตาคือบริเวณ 144.38 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับราคาที่เคยรองรับแรงขายไว้ได้ในอดีต และอาจทำหน้าที่เป็นจุดพักตัวของราคาได้อีกครั้ง ในทางกลับกัน หากราคาสามารถดีดตัวกลับขึ้นไปได้ แนวต้านสำคัญที่ควรเฝ้าระวังคือบริเวณ 163.92 ดอลลาร์ ซึ่งหากสามารถฝ่าแนวดังกล่าวขึ้นไปได้ ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการอ่อนแรงของแนวโน้มขาลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม จนกว่าจะมีการกลับตัวอย่างชัดเจน ภาพรวมของ JNJ ยังคงเป็นขาลงที่ควรระวัง
