ภาพรวมตลาด
ราคาหุ้น Pfizer มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ หลังบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ปรับปรุงแล้วที่ 0.87 ดอลลาร์ สูงกว่าค่าคาดเฉลี่ยกว่า 37% แม้ว่ารายได้รวมจะลดลงเล็กน้อย 6% YoY เหลือ 16.65 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ และสะท้อนถึงความมั่นคงของรายได้หลักที่ไม่เกี่ยวข้องกับโควิด ซึ่งยังคงเติบโตจากกลุ่มยาเรือธงอย่าง Vyndaqel, Nurtec และ Padcev ที่ช่วยชดเชยการลดลงของยอดขาย Paxlovid และ Comirnaty ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่บริษัทคงเป้ารายได้ทั้งปีไว้ที่ 62.5 พันล้านดอลลาร์ พร้อมปรับเพิ่มแนวโน้ม EPS ขึ้น เป็นสัญญาณชัดว่าผู้บริหารมีความมั่นใจต่อแนวโน้มธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี
แรงขับเคลื่อนใหม่ของการเติบโต มาจากดีลเชิงกลยุทธ์ที่อยู่ระหว่างการเจรจากับ Novo Nordisk เพื่อเข้าซื้อกิจการ Metsera ซึ่งมีเทคโนโลยีหลักด้านยาลดน้ำหนัก (Obesity Drugs) ที่กำลังเป็นตลาดเติบโตเร็วที่สุดในโลก หากการซื้อกิจการครั้งนี้สำเร็จ จะเปิดประตูให้ Pfizer เข้าสู่ตลาดที่มีมูลค่าสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี และเสริมศักยภาพให้บริษัทกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมยาควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ การผนวกธุรกิจของ Seagen ที่เข้ามาเสริมพอร์ตยากลุ่มมะเร็งในปี 2023 ก็เริ่มเห็นผลเชิงรายได้จริง ทำให้บริษัทมีโครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวมากขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่โรคหัวใจ มะเร็ง ไปจนถึงโรคภูมิคุ้มกัน ลดการพึ่งพารายได้จากวัคซีนโควิดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในเชิงกลยุทธ์ระยะยาว Pfizer ยังคงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากกระแสเงินสดแข็งแรงและขนาดธุรกิจที่ใหญ่ระดับโลก บริษัทตั้งเป้าประหยัดต้นทุนรวมกว่า 7.7 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ผ่านโครงการปรับโครงสร้างองค์กรและการย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานและขยายอัตรากำไร นอกจากนี้ การเข้าซื้อกิจการสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เช่น Seagen, Biohaven, Arena และ Global Blood Therapeutics ช่วยเพิ่มพอร์ตยานวัตกรรมใหม่กว่า 10 รายการ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกัน และระบบประสาท ซึ่งเริ่มสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในปี 2025–2026 ขณะเดียวกัน การลงทุนในเทคโนโลยี mRNA และยีนบำบัด (Gene Therapy) จะเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดไปยังวัคซีนรุ่นใหม่และการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ซึ่งเป็นเทรนด์ใหญ่ของอุตสาหกรรมยาในทศวรรษหน้า
ในมุมมองด้านมูลค่า (Valuation) หุ้น Pfizer ยังถูกมองว่ามีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐาน โดยนักวิเคราะห์จาก Morningstar ยังคงประเมินว่าราคาหุ้นมีโอกาสขึ้นต่อ และเชื่อว่าตลาดกำลังประเมินแนวโน้มบริษัทในเชิงลบเกินไป สอดคล้องกับท่าทีของนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ เช่น Michael Burry ผ่านกองทุน Scion Asset Management ที่ได้เปิดสถานะ Call Options ในหุ้น Pfizer ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของมูลค่าหุ้นในระยะกลาง เมื่อพิจารณาจากฐานธุรกิจที่เริ่มกระจายตัวดีขึ้น การควบรวมกิจการเชิงกลยุทธ์ที่ต่อยอดรายได้ และการกลับมาขยายกำไรจากธุรกิจหลักที่ไม่เกี่ยวกับโควิด จึงมีแนวโน้มสูงที่ราคาหุ้น Pfizer (PFE) จะกลับเข้าสู่ทิศทางขาขึ้นต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นและแนวโน้มการเติบโตระยะยาวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
PFIZER
ราคาหุ้น Pfizer ยังคงเคลื่อนไหวอยู่เหนือกรอบแนวรับสีแดง ซึ่งทำหน้าที่เป็นฐานสำคัญในการพยุงทิศทางขาขึ้นของราคาได้อย่างมั่นคง การเคลื่อนไหวภายในกรอบเทรนไลน์ขาขึ้นในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงแรงซื้อที่ยังคงคอยหนุนโมเมนตัมเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมของแนวโน้มระยะกลางยังคงเอื้อไปในทางขาขึ้น หากราคาสามารถทรงตัวเหนือระดับแนวรับดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อเพื่อทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 30 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หากแรงขายกลับเข้ามากดดันและราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับบริเวณ 21 ดอลลาร์ ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการอ่อนแรงของแนวโน้มขาขึ้น และเปิดโอกาสให้ราคาปรับตัวลงต่อไปสู่แนวรับถัดไปบริเวณ 19 ดอลลาร์เพื่อหาจุดสมดุลใหม่ของตลาด
PFIZER (DAILY)

