ภาพรวมตลาด
Apple รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปีงบประมาณ 2025 ออกมาแข็งแกร่งเกินคาด โดยทำรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.025 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 1.85 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.77 ดอลลาร์ อัตรากำไรขั้นต้นพุ่งแตะ 47.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจนของบริษัทจากการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ ไปสู่โครงสร้างรายได้ที่สร้างกำไรสูงขึ้น โดยเฉพาะจากบริการและผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม เช่น iPhone 17 Pro และ Pro Max ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม Tim Cook ซีอีโอของบริษัท ระบุว่า ผลประกอบการครั้งนี้ “ตอกย้ำความแข็งแกร่งของระบบนิเวศ Apple” ที่ผสานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการเข้าด้วยกันอย่างลงตัว พร้อมคาดว่าไตรมาสถัดไป (ธันวาคม 2025) จะสร้างสถิติใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มรายได้เติบโตต่อเนื่อง 10–12% แบบปีต่อปี
ธุรกิจ iPhone ยังคงเป็นหัวใจหลักของรายได้ โดยสร้างยอดขายกว่า 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้รวม เติบโต 6% จากปีก่อนหน้า แม้ยังมีข้อจำกัดด้านอุปทานบางส่วน แต่ราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นจากรุ่น Pro และ Pro Max ช่วยขยายกำไรต่อเครื่องได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน iPhone 17 Air ที่ใช้โมเด็ม C1 ซึ่ง Apple พัฒนาเอง ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดการพึ่งพา Qualcomm และเพิ่มการควบคุมห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว อีกทั้งการกระจายฐานการผลิตไปยัง อินเดียและเวียดนาม ก็ช่วยลดความเสี่ยงจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และภาษีนำเข้าจากจีน แม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพสูงทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจบริการ (Services) ยังคงเป็นเครื่องยนต์สร้างมูลค่าหลัก โดยรายได้เพิ่มขึ้นถึง 15% แบบเปรียบเทียบปีต่อปี แตะระดับ 2.88 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดใหม่ และผลักดันรายได้รวมของหมวดบริการทั้งปีทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรก ครอบคลุมบริการหลักอย่าง App Store, iCloud, Apple Music, Apple TV+, Apple Pay และโฆษณาในระบบนิเวศ Apple ทั้งหมดนี้รวมกันคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมด ความแข็งแกร่งของฐานผู้ใช้งานกว่า 2.4 พันล้านเครื่องทั่วโลก ทำให้รายได้จากบริการกลายเป็น รายได้ประจำ (Recurring Revenue) ที่มีเสถียรภาพสูง นอกจากนี้ การที่ศาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ Google ยังคงจ่ายเงินให้ Apple เพื่อเป็นเสิร์ชเอนจินเริ่มต้นใน Safari ถือเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อรายได้และอัตรากำไรในระยะยาว
ในเชิงกลยุทธ์ Apple ยังคงรักษาความได้เปรียบเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน ผ่าน “ระบบนิเวศปิด (Walled Garden)” ที่สร้างต้นทุนการเปลี่ยนสูงและอำนาจกำหนดราคาที่แข็งแกร่ง บริษัทลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (R&D) มากกว่า 12.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 35% จากปีก่อน เพื่อเร่งพัฒนาเทคโนโลยีชิปภายใน เช่น A-series, M-series และ C1 รวมถึงฟีเจอร์ด้าน AI ภายใต้แนวคิด ‘Quiet AI’ ที่มุ่งเน้นการผสาน AI เข้ากับประสบการณ์ผู้ใช้โดยไม่กระทบต่อความเป็นส่วนตัว กลยุทธ์นี้ช่วยให้ Apple มีเอกลักษณ์แตกต่างจากคู่แข่งที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ พร้อมกันนั้น บริษัทยังดำเนินนโยบายคืนทุนผู้ถือหุ้นอย่างมีวินัย โดยซื้อหุ้นคืนกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ และจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง สะท้อนฐานะทางการเงินที่แข็งแรง ด้วยเงินสดในมือกว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ และกระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่สูงที่สุดในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
APPLE
ราคาหุ้น Apple Inc. (AAPL) ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยราคายังคงอยู่เหนือกรอบแนวรับสีแดง ซึ่งทำหน้าที่เป็นฐานสำคัญในการรองรับแรงซื้อและรักษาโมเมนตัมบวกในระยะกลาง การเคลื่อนไหวภายในกรอบเทรนไลน์ขาขึ้นยังคงมีความมั่นคงและชัดเจน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงหนุนราคาต่อเนื่อง หากแรงซื้อยังคงอยู่ในระดับแข็งแรง ราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเพื่อทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 300 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยาที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม หากราคาหลุดกรอบแนวรับบริเวณ 240 ดอลลาร์ลงมา จะเป็นสัญญาณว่าแรงขาขึ้นเริ่มชะลอตัว โดยแนวรับถัดไปจะอยู่บริเวณ 220 ดอลลาร์
APPLE (DAILY)

